ครูสอนภาษาอังกฤษที่ได้ร่วมสอนวิชาตรีโกณมิติให้กับนักเรียนชั้นมัธยมปลาย ได้ให้พวกเขาอธิบายสมการให้เด็กเล็กเข้าใจ และเปลี่ยนโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ให้กลายเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ
จากคนเกลียดคณิตศาสตร์ สู่ครูผู้สอนตรีโกณมิติ
ฉันไม่เคยชอบคณิตศาสตร์เลย แต่จู่ๆ กลับต้องมาสอนตรีโกณมิติ! ฉันเป็นครูสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนรัฐที่ชิคาโกและมีใบรับรองการสอนการศึกษาพิเศษ เมื่อโรงเรียนขาดแคลนครูด้านนี้ ฉันจึงถูกดึงให้มาร่วมสอนวิชาตรีโกณมิติในช่วงกลางปี พร้อมกับครูคณิตศาสตร์
นักเรียนของฉันมักจะรู้สึกว่าพวกเขาไม่เก่งคณิตศาสตร์ และพวกเขาก็ไม่ชอบมันเลย พวกเขาสงสัยว่า “ทำไมต้องมานั่งคำนวณซ้ำๆ?” หรือ “เรากำลังพยายามหาคำตอบของอะไรอยู่?” ตอนแรกฉันก็คิดเหมือนกัน
แต่เมื่อเวลาผ่านไป วิชาตรีโกณมิติกลับกลายเป็นวิชาที่ฉันชอบมากที่สุดในแต่ละวัน! ฉันต้องหาวิธีใหม่ๆ ในการสอน และมองเห็นความท้าทายที่น่าตื่นเต้น เมื่อคุณเป็นมือใหม่ คุณมีมุมมองใหม่ๆ และพร้อมจะลองทำสิ่งใหม่ๆ เพราะไม่มีกรอบว่าต้องทำอย่างไร
ฉันจึงร่วมมือกับครูคณิตศาสตร์เพื่อออกแบบบทเรียนเสริม ที่ช่วยให้นักเรียนเข้าใจคณิตศาสตร์ผ่านความหมายส่วนตัวและความคิดสร้างสรรค์
อธิบายให้เด็กฟัง
ฉันพบว่านักเรียนหลายคนรู้สึกหงุดหงิดกับคณิตศาสตร์ เพราะพวกเขาคิดว่าต้องได้ “คำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว” ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับนักเรียนที่มีความหลากหลาย โดยเฉพาะเมื่อเจอโจทย์หลายขั้นตอน ดังนั้น เราเปลี่ยนจุดสนใจจากคำตอบไปที่ “กระบวนการ” แทน
ฉันนำหนังสือชุด Baby University ของ Chris Ferrie มาให้นักเรียนอ่าน เช่น General Relativity for Babies และ Optical Physics for Babies ซึ่งใช้ภาษาง่ายๆ อธิบายเรื่องที่ซับซ้อน แนวคิดคือ “ถ้าคุณเข้าใจบางสิ่งจริงๆ คุณต้องสามารถอธิบายให้เด็กเล็กเข้าใจได้”
ฉันให้พวกเขาเลือกสมการที่เคยคิดว่ายาก แล้วลองอธิบายให้เพื่อนเข้าใจผ่านภาษาง่ายๆ หลังจากนั้น พวกเขาได้ออกแบบหนังสือเล่มเล็กของตัวเอง โดยใช้กระดาษแข็งและดินสอสี เพื่อทำให้แนวคิดทางคณิตศาสตร์เข้าใจง่ายขึ้น
เมื่อนักเรียนแชร์หนังสือของตนเองกับเพื่อน พวกเขาได้แลกเปลี่ยนมุมมองใหม่ๆ ซึ่งช่วยให้เข้าใจเรื่องที่เรียนลึกซึ้งยิ่งขึ้น และที่สำคัญ พวกเขารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ใช้ทักษะการเขียนและศิลปะในวิชาคณิตศาสตร์
เปลี่ยน “โจทย์ปัญหา” ให้กลายเป็น “เรื่องราว”
โจทย์ปัญหาในคณิตศาสตร์มักเป็นเรื่องราวอยู่แล้ว แต่เป็นเรื่องราวที่ขาดการเชื่อมโยงและไม่น่าสนใจ เช่น “การคำนวณพื้นที่พรมที่ต้องซื้อ” หรือ “การคำนวณความยาวของสายที่ใช้ยึดต้นไม้” แม้ว่าเรื่องเหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับชีวิตจริงในอนาคต แต่มันไม่ได้เชื่อมโยงกับชีวิตของวัยรุ่นในปัจจุบัน
ฉันให้พวกเขาเปลี่ยนโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ในหนังสือเรียนให้เป็นเรื่องราวที่เชื่อมโยงกัน โดยเริ่มจากการคัดลอกโจทย์ปัญหาลงบนการ์ด แล้วจัดกลุ่มโจทย์ที่คล้ายกัน 5 ข้อขึ้นไป จากนั้นพวกเขาคิดว่า “ทำไมต้องแก้โจทย์เหล่านี้?” และใช้คำตอบของตัวเองสร้างเรื่องราวขึ้นมา
พวกเขาสร้างตัวละครจากโจทย์ และพัฒนาเรื่องราว เช่น กลุ่มหนึ่งเขียนเรื่องซอมบี้บุกโลก ซึ่งตัวละครต้องใช้คณิตศาสตร์เพื่อเอาตัวรอด อีกกลุ่มหนึ่งสร้างเรื่องเอเลี่ยนบุกโลก ที่ต้องใช้ตรีโกณมิติในการคำนวณเส้นทางหนี
แม้ว่าเรื่องราวเหล่านี้จะไม่ใช่ชีวิตจริงของพวกเขา แต่ก็ทำให้พวกเขามีส่วนร่วมมากกว่าการซื้อพรมหรือจัดสวนแน่นอน! พวกเขาตั้งตารออ่านเรื่องของเพื่อน และสนุกกับการแก้โจทย์คณิตศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่พวกเขาสร้างขึ้นเอง
สร้างแรงจูงใจให้การเรียนคณิตศาสตร์
มื่อคณิตศาสตร์ถูกผูกเข้ากับการเขียนเชิงสร้างสรรค์ นักเรียนจะมีส่วนร่วมมากขึ้น เพราะพวกเขาเป็นเจ้าของเรื่องราวนั้นเอง พวกเขาไม่ได้เพียงแค่แก้สมการ แต่พวกเขาอยากรู้ว่าตัวละครของพวกเขาจะทำอย่างไรต่อไป
ท้ายที่สุด การเล่าเรื่องช่วยให้พวกเขาเข้าใจว่า “ทำไมเราต้องเรียนเรื่องนี้?” และคณิตศาสตร์ก็ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขอีกต่อไป แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่มีความหมายสำหรับพวกเขา
สรุป
- อธิบายแนวคิดคณิตศาสตร์ผ่านภาษาง่ายๆ เหมือนอธิบายให้เด็กเล็กฟัง
- เปลี่ยนโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ให้เป็นเรื่องราวที่เชื่อมโยงกัน
- ใช้การเขียนและศิลปะเพื่อทำให้คณิตศาสตร์น่าสนใจขึ้น
- ทำให้นักเรียนมีส่วนร่วมและเห็นคุณค่าในสิ่งที่เรียน
วิธีนี้ไม่เพียงช่วยให้พวกเขาเข้าใจคณิตศาสตร์ แต่ยังทำให้พวกเขาสนุกกับมันมากขึ้นอีกด้วย!
อ้างอิง : Amy Schwartzbach-Kang
จากเว็บไซต์ : https://www.edutopia.org/article/learning-math-seeing-it-story